เรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่น(เมียน้อย), ยกย่องผู้อื่นฉันภริยา
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ สามีนอกใจเรียกอะไรได้บ้าง? • คำพิพากษาศาลฎีกา 3596/2546 • ฟ้องหย่าจากพฤติกรรมมีชู้ • สิทธิเรียกค่าทดแทนคู่สมรส • การเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรในคดีหย่า • กฎหมายการหย่าร้างและการชดเชยความเสียหาย • อายุความในการฟ้องหย่า • มาตรา 1516 มาตรา 1517 มาตรา 1523 ประมวลกฎหมายแพ่ง ภริยาเรียกค่าทดแทนจากสามีและหญิงอื่นที่สามีอุปการะเลี้ยงดูฉันภริยา แม้ภริยาจะทราบว่าหญิงอื่นนั้นทำละเมิดต่อตนเกินหนึ่งปีก็ยังไม่ขาดอายุความ การที่ภริยาไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามีและของหญิงอื่นแสดงว่าภริยาไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำผิดของบุคคลทั้งสอง และการที่ศาลอนุญาตให้สามีภริยาหย่าขาดจากกันเพราะเหตุสามียกย่องหญิงอื่น ดังนั้นภริยามีสิทธิฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนจากบุคคลทั้งสองได้ สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2546 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 มีบุตรสองคน ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2 โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้หย่ากัน โจทก์ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยที่ 1 และค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์ทราบเรื่องการสมรสของจำเลยทั้งสองตั้งแต่ปี 2536 แต่การกระทำยังคงต่อเนื่อง ทำให้คดียังไม่ขาดอายุความ ศาลเห็นว่าแม้โจทก์เห็นภาพพิธีมงคลสมรสของจำเลยทั้งสองในภายหลังและไม่คัดค้าน แต่ไม่ได้บ่งชี้ว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยทั้งสองอยู่ร่วมกันตามมาตรา 1517 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่า การที่จำเลยที่ 1 เลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 ในฐานะภริยา เป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516(1) โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1523 สิทธิของบุตรในการรับค่าอุปการะเลี้ยงดูควรได้รับตามสถานะผู้ให้และฐานะของบุตร การกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้รวมกันมานั้นไม่เหมาะสม ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเลี้ยงดูบุตรคนละ 2,500 บาทต่อเดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และเมื่อบุตรคนแรกบรรลุนิติภาวะให้ชำระค่าเลี้ยงดูบุตรคนที่สองต่อไปเดือนละ 4,000 บาท เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของคำพิพากษานี้ได้ชัดเจนขึ้น นี่คือการอธิบายหลักกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง:
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1):
มาตรานี้กล่าวถึงเหตุหย่าที่สามีหรือภริยาจะใช้ฟ้องหย่าคู่สมรสได้ โดยระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “มีชู้” หรือมีพฤติกรรมที่ยกย่องบุคคลอื่นในฐานะคู่สมรสที่สามีหรือภริยาจะถือว่าฝ่ายนั้นละเมิดความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส การกระทำดังกล่าวทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายสามารถฟ้องหย่าได้ตามกฎหมาย
2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง:
มาตรานี้กำหนดถึงสิทธิของคู่สมรสในการฟ้องหย่า โดยเฉพาะในกรณีที่มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่แสดงให้เห็นว่าฝ่ายหนึ่งยินยอมให้ฝ่ายอื่นกระทำสิ่งที่ใดขัดต่อสถานะคู่สมรส เช่น ยินยอมให้คู่สมรสอีกฝ่ายมีคนอื่นในฐานะคู่ชีวิตอย่างเปิดเผย หากคู่สมรสฝ่ายใดฟ้องหย่าด้วยเหตุนี้ ศาลจะพิจารณาความเจตนาและการยอมรับจากพฤติการณ์ของฝ่ายที่ฟ้อง
3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคแรก:
มาตรานี้ระบุว่า คู่สมรสที่เป็นฝ่ายเสียหายจากการกระทำของคู่สมรสอีกฝ่ายสามารถเรียกค่าทดแทนได้ ในกรณีนี้ การเรียกค่าทดแทนจากการที่คู่สมรสอีกฝ่ายละเมิดความสัมพันธ์ในฐานะคู่สมรส เช่น การมีบุคคลที่สามในฐานะภริยาหรือสามี ศาลสามารถพิจารณาให้ค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น
4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529:
มาตรานี้กล่าวถึงสิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังหย่าระหว่างคู่สมรสที่หย่าขาด หากการหย่าเกิดขึ้นด้วยความผิดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายที่ถูกละเมิดอาจขอค่าอุปการะเลี้ยงดูจากฝ่ายที่ผิด แม้ในกรณีที่มีการหย่ากันแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นสิทธิที่กฎหมายคุ้มครองเพื่อให้ผู้เสียหายยังสามารถดำรงชีวิตต่อไปได้
5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/38:
มาตรานี้กล่าวถึงสิทธิของบุตรในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดา โดยมุ่งเน้นให้บุตรได้รับการดูแลตามความสามารถของบิดามารดาและฐานะของบุตร ในกรณีของการฟ้องหย่าที่มีบุตร ผู้ฟ้องสามารถเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรจากคู่สมรสที่ผิดเพื่อให้บุตรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมาะสม
กฎหมายเหล่านี้ครอบคลุมถึงสิทธิและหน้าที่ของคู่สมรสทั้งในกรณีที่ยังคงสถานะการสมรสและกรณีที่ฟ้องหย่า โดยการฟ้องหย่ามีเหตุผลที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนเพื่อปกป้องสิทธิของคู่สมรสฝ่ายที่เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2546 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 มีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2 และอยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผยโดยยังมิได้หย่าขาดกับโจทก์ โจทก์จึงฟ้องหย่าโดยเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยที่ 1 และเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์จะทราบว่าจำเลยทั้งสองจดทะเบียนสมรสและอยู่กินด้วยกันตั้งแต่ปี 2536 แต่จำเลยทั้งสองก็อยู่กินด้วยกันตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดต่อโจทก์ต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดการกระทำอายุความจึงยังไม่เริ่มนับ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ แม้โจทก์จะเคยเห็นภาพถ่ายพิธีมงคลสมรสของจำเลยทั้งสองในภายหลังและมิได้โต้แย้งคัดค้านก็ตาม แต่ขณะจัดพิธีมงคลสมรสของจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่ทราบเรื่องกรณียังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ การที่จำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหญิงอื่นฉันภริยาอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1) และศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่ากันด้วยเหตุดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคแรก สิทธิของผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นสิทธิของบุตรแต่ละคนจะพึงได้รับตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรทั้งสองรวมกันมาจึงไม่ถูกต้อง ควรกำหนดจำนวนเงินเป็นรายเดือนให้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองแต่ละคนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และเมื่อบุตรคนแรกบรรลุนิติภาวะแล้วให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยกำหนดจำนวนเงินเป็นรายเดือนแก่บุตรคนที่สองต่อไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
คำถามที่ 1: โจทก์สามารถฟ้องหย่าจากจำเลยที่ 1 ได้หรือไม่ และเหตุใดศาลจึงพิจารณาให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่า? คำตอบ: โจทก์สามารถฟ้องหย่าจากจำเลยที่ 1 ได้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหญิงอื่นฉันภริยา ซึ่งเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1) อีกทั้งศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยทั้งสองอยู่กินฉันสามีภริยากัน จึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ คำถามที่ 2: เหตุใดการฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ แม้โจทก์จะทราบเรื่องการจดทะเบียนสมรสและอยู่กินของจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ปี 2536? คำตอบ: การฟ้องของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองที่อยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างเปิดเผยยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงวันฟ้อง ทำให้อายุความยังไม่เริ่มนับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2527 ณ สำนักทะเบียนอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กหญิงกนกพรรณ และเด็กชายธนรัชต์ เมื่อประมาณต้นปี 2536 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้รู้จักและสนิทสนมในทำนองชู้สาวกับจำเลยที่ 2 โจทก์จึงบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ทราบว่า โจทก์เป็นภริยาของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายและมีบุตรด้วยกัน 2 คน ขอให้จำเลยที่ 2 เลิกยุ่งเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อต้นปี 2541 โจทก์ได้ทราบว่าจำเลยทั้งสองสมัครใจเป็นสามีภริยากันอย่างเปิดเผย โดยจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2536 ณ สำนักทะเบียนอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ระหว่างที่โจทก์อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรผู้เยาว์ทั้งสองในฐานะบิดาพึงกระทำจำเลยที่ 1 ได้ประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง การที่จำเลยที่ 1 ไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร แต่ไปอุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 ฉันสามีภริยาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียงและเกียรติคุณ โจทก์ไม่สามารถที่จะอยู่กินร่วมกับจำเลยที่ 1 ได้ จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับโจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้บุตรผู้เยาว์คือเด็กหญิงกนกพรรณและเด็กชายธนรัชต์ อยู่ในอำนาจปกครองของโจทก์แต่เพียงฝ่ายเดียว ให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าทดแทนให้แก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่กินฉันสามีภริยาและพักอาศัยร่วมกันที่บ้านบิดาและมารดาของโจทก์นั้น จำเลยที่ 1 ถูกดูถูกเหยียดหยาม แสดงความรังเกียจจากบิดามารดาของโจทก์ตลอดเวลา และบิดามารดาของโจทก์บีบบังคับให้จำเลยที่ 1 หาเงินสดจำนวน 30,000 บาท มาให้เพื่อทำรั้วบ้าน จำเลยที่ 1 จึงกู้เงินจากสหกรณ์ออมทรัพย์มามอบให้ เมื่อทำรั้วเสร็จเรียบร้อยแล้วบิดามารดาของโจทก์ขับไล่ให้จำเลยที่ 1 ไปหาที่อยู่ใหม่ โดยไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 อาศัยร่วมด้วย จำเลยที่ 1 ต้องไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักราชการของผู้อื่น เมื่อจำเลยที่ 1 มีบ้านพักเป็นของตนเองแล้ว จำเลยที่ 1 ได้ขอให้โจทก์มาอยู่ร่วมกับจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่ยอมมา ต่อมาในปี 2532 จำเลยที่ 1 ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดศรีสะเกษ จำเลยที่ 1 ได้ชวนให้โจทก์ย้ายไปอยู่ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ด้วย แต่โจทก์ไม่ยอมไป โดยโจทก์มีเจตนาจะแยกจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 1 โดยเด็ดขาด จำเลยที่ 1 จึงต้องอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษเพียงลำพังตลอดมา เมื่อจำเลยที่ 1 เริ่มรู้จักกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อเป็นข้อต่อรองให้โจทก์กลับมาอยู่กับจำเลยที่ 1 ตามปกติ แต่โจทก์ก็ไม่ยอมมาและบอกจำเลยที่ 1 ว่า หากจะมีภริยาใหม่ โจทก์ก็ไม่ขัดข้อง แต่จำเลยที่ 2 ต้องนำเงินมาให้โจทก์จำนวน30,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงไปนำเงินสดมาจากจำเลยที่ 2 มอบให้โจทก์จำนวน 30,000บาท ตามที่ตกลงกัน จากนั้นจำเลยที่ 2 จึงได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 ด้วยการรู้เห็นยินยอมของโจทก์มาตลอด เมื่อจำเลยที่ 1 เรียกร้องให้โจทก์ไปจดทะเบียนหย่า โจทก์บ่ายเบี่ยงโดยมีเงื่อนไขให้จำเลยที่ 1 หาเงินสดมาให้โจทก์จำนวน 30,000 บาท ก่อนจึงจะยอมปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 จึงไปกู้เงินมาจากสหกรณ์ออมทรัพย์จำนวน 32,000 บาทและมอบให้แก่โจทก์ ในปี 2536 โจทก์นัดหมายจะไปจดทะเบียนหย่าแต่เมื่อถึงกำหนดนัดโจทก์ก็ไม่ไป โจทก์ได้มาขนทรัพย์สินต่าง ๆ ภายในบ้านของจำเลยที่ 1 จนไม่มีทรัพย์สินเครื่องใช้เหลืออยู่เลย ต่อมาในปี 2539 โจทก์ได้ไปพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านของมารดาจำเลยที่ 1 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อขอสร้อยคอทองคำหนัก 4 บาท พร้อมพระเลี่ยมทอง 1 องค์ อ้างว่าวันรุ่งขึ้นจะไปจดทะเบียนหย่าให้กับจำเลยที่ 1 ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี จำเลยที่ 1 ยอมมอบสร้อยคอทองคำพร้อมพระเลี่ยมทองให้แก่โจทก์ไปแต่โจทก์ไม่ยอมไปตามนัด โจทก์หลอกลวงเรียกร้องเงินสดและทรัพย์สินจำนวนมากจากจำเลยที่ 1 ไปหลายครั้ง และรู้เห็นเป็นใจในการที่จำเลยที่ 1 อยู่กินร่วมกับจำเลยที่ 2 ตลอดมา แสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจะอยู่กินร่วมกับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้น จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายใด ๆ แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ได้ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองในฐานะบิดามาตลอด แม้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 จะแยกกันอยู่ จนกระทั่งเมื่อโจทก์ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 1 ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 1 จึงระงับการจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ส่งเสียเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 5,000 บาทนั้น เป็นเงินที่สูงเกินไป โจทก์ทราบเรื่องที่จำเลยทั้งสองอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี 2536 แล้ว หากจะนับเวลาตั้งแต่ปี2536 มาจนถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว คดีของโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่ผู้เยาว์ทั้งสองในชั้นประถมศึกษาคนละ 2,000 บาท ต่อเดือน ในชั้นมัธยมศึกษาคนละ3,000 บาทต่อเดือน และชั้นอุดมศึกษาคนละ 4,000 บาท ต่อเดือนนับแต่วันพิพากษาไปจนกว่าผู้เยาว์จะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าทดแทนแก่โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 21 สิงหาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาจนกว่าบุตรทั้งสองมีอายุครบ 20ปีบริบูรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 2 คน ต่อมาเมื่อปี 2536 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2 และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาอย่างเปิดเผย โดยที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องหย่าขาดจากจำเลยที่ 1 เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยที่ 1 และเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองถึงแม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า โจทก์ทราบว่าจำเลยทั้งสองจดทะเบียนสมรสและอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ปี 2536 แต่จำเลยทั้งสองก็อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาตลอดมาจนถึงวันฟ้อง ลักษณะการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ต่อเนื่องกันมายังมิได้หยุดการกระทำ อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่สองว่า โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยากัน จึงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าหรือไม่เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าจำเลยที่ 1 เคยแจ้งให้โจทก์ทราบตั้งแต่ก่อนแต่งงานกับจำเลยที่ 2แต่โจทก์บอกกับจำเลยที่ 1 ว่าจะมีภริยาใหม่โจทก์ไม่ขัดข้อง หากจำเลยที่ 2 นำเงินมาให้โจทก์ 30,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงมอบเงินของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์จำนวน 30,000 บาทจำเลยที่ 1 เคยนำรูปของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ดู โจทก์ก็เฉยและบอกว่าอยากมีก็มีไป ขอให้ได้รับเงินเดือนทุกเดือนนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอย ๆ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ถามค้านโจทก์ถึงข้ออ้างดังกล่าว ทั้งหากโจทก์รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยากันแล้วจริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่โจทก์จะไปร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1และร้องเรียนจำเลยที่ 2 ในการพิจารณาเลื่อนชั้นระดับของจำเลยที่ 2 ส่วนการที่โจทก์เห็นภาพถ่ายงานพิธีมงคลสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้านหรือดำเนินการทางศาลนั้น ก็ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า ขณะจัดพิธีมงคลสมรสของจำเลยทั้งสองนั้นโจทก์ไม่ทราบ แสดงว่าโจทก์ไม่ทราบว่าจำเลยทั้งสองจะจัดพิธีมงคลสมรสกัน แม้ต่อมาโจทก์เห็นภาพถ่ายดังกล่าวในภายหลังแล้วมิได้โต้แย้งคัดค้าน ก็ยังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รู้เห็นเป็นใจให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยากัน พยานจำเลยทั้งสองไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทั้งสองอยู่กินเป็นสามีภริยากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าได้ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการที่สามว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองจัดพิธีมงคลสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากันอย่างเปิดเผย ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหญิงอื่นฉันภริยา อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1) และศาลได้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่ากันด้วยเหตุดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคแรก ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูให้แก่บุตรทั้งสองเพียงใด ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ยังมีภาระต้องชำระหนี้แก่ทางราชการอยู่ ควรรับผิดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท และเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีภาระต้องชำระหนี้ของทางราชการแล้วก็ยินยอมรับผิดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเดือนละ 5,000 บาท ต่อไปนั้นเห็นว่า ตามใบแจ้งการหักเงินเดือนเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 5 ฉบับลงวันที่ 30 มิถุนายน 2542 จำเลยที่ 1 ได้รับเงินเดือน 14,325 บาท ถูกหักค่าสหกรณ์จำนวน 7,004.63 บาท และหักอย่างอื่นอีก คงเหลือเงินเดือนที่ได้รับ 6,630.37 บาท แม้จะยังเหลือหนี้เงินต้นอยู่อีก103,800 บาท แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังคงมีเงินค่าหุ้นในสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นเงิน 63,050 บาท ทั้งจำเลยที่ 1 ก็เบิกความยอมรับว่ามิได้จ่ายเงินช่วยเหลือโจทก์และบุตรทั้งสองมาตั้งแต่ต้นปี 2541 ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงรายได้และพฤติการณ์แห่งกรณีแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ 5,000 บาทนับแต่วันที่มีคำพิพากษานั้น เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่สิทธิของบุตรผู้เยาว์ที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาเป็นสิทธิของบุตรผู้เยาว์แต่ละคนจะพึงได้รับตามความสามารถของผู้มีหน้าที่ให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่บุตรทั้งสองรวมกันมาจึงไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ 2,500บาทต่อเดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และเมื่อบุตรคนแรกบรรลุนิติภาวะแล้วให้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรคนที่สองต่อไปเดือนละ 4,000 บาท จนกว่าบุตรคนที่สองจะบรรลุนิติภาวะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 กำหนดว่า สิทธิฟ้องหย่าตามเหตุในมาตรา 1516 (1), (2), (3), (6) หรือ มาตรา 1523 จะหมดไปเมื่อพ้น 1 ปีนับจากวันที่ผู้มีสิทธิฟ้องรู้หรือควรรู้ความจริงที่นำมาอ้างเป็นเหตุหย่า แต่เหตุที่ฟ้องไม่ได้แล้วนั้นยังใช้เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนเหตุฟ้องหย่าอื่นได้ อายุความ 1 ปีนี้ใช้กับเหตุฟ้องหย่าที่เกิดจากเหตุเฉพาะ เช่น การที่ภรรยามีชู้ตามมาตรา 1516 (1) หากสามีไม่ฟ้องภายใน 1 ปีหลังทราบข้อเท็จจริง คดีจะหมดอายุความ แต่สำหรับเหตุที่ต่อเนื่อง เช่น การแยกกันอยู่ตามมาตรา 1516 (4) ไม่มีอายุความ ผู้ฟ้องยังสามารถฟ้องหย่าได้ตราบที่สถานภาพนั้นยังคงอยู่ กรณีเหตุหย่าจากการผิดทัณฑ์บน กฎหมายไม่ได้กำหนดอายุความ จึงใช้อายุความทั่วไป 10 ปี ทั้งนี้ อายุความ 1 ปี จำเลยต้องยกขึ้นสู้ หากไม่ยก ศาลไม่สามารถยกเรื่องอายุความขึ้นเองเพื่อยกฟ้องได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2533 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นชู้กับภริยาโจทก์ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิและทำให้โจทก์เสียหาย ฟ้องของโจทก์ระบุข้อหาและคำขอบังคับชัดเจน โจทก์ทราบเรื่องชู้เมื่อเดือนเมษายน 2527 และฟ้องคดีในวันที่ 13 ธันวาคม 2527 ซึ่งยังไม่พ้นกำหนด 1 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1529 วรรคหนึ่ง ดังนั้น สิทธิฟ้องของโจทก์ยังคงอยู่ ฎีกาย่อ: โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับจำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและขาดรายได้จากการต้องกลับมาดูแลครอบครัว ขอให้หย่ากับจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 2 จ่ายค่าทดแทน 100,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่า บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมและสิทธิฟ้องไม่ขาดอายุความตามมาตรา 1529 เพราะโจทก์ทราบเรื่องเมื่อต้นเดือนเมษายน 2527 และฟ้องเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2527 ยังอยู่ในกำหนด 1 ปี. 2. คำพิพากษาฎีกาที่ 5664/2551 แม้จำเลยไม่ได้ระบุบทกฎหมายชัดเจนถึงเหตุขาดอายุความ แต่เหตุหย่าที่มีอายุความตามมาตรา 1529 แห่ง ป.พ.พ. และเกี่ยวข้องกับมาตรา 1516 (3) และ (6) เป็นข้ออ้างในคดีนี้ ถือว่าจำเลยยกขึ้นต่อสู้ว่าโจทก์ขาดสิทธิฟ้องเนื่องจากเหตุหย่าระงับไปตามกฎหมาย เมื่อโจทก์กล่าวว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุเริ่มตั้งแต่ปี 2544 แต่โจทก์ฟ้องในปี 2546 ซึ่งเกิน 1 ปีนับแต่รู้หรือควรรู้ความจริง สิทธิฟ้องร้องของโจทก์จึงสิ้นสุดไปตามกฎหมาย *เหตุฟ้องหย่าอ้างกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา อย่างร้ายแรงเมื่อฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีก็ขาดอายุความ ฎีกาย่อ: ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า แม้จำเลยจะไม่ได้ระบุบทกฎหมายชัดเจน แต่ถือว่าจำเลยต่อสู้ว่าเหตุฟ้องหย่าขาดอายุความตาม มาตรา 1529 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดอายุความ 1 ปีสำหรับเหตุหย่าตาม มาตรา 1516 (3) และ (6) ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา โจทก์อ้างว่าเหตุเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2544 โดยจำเลยกระทำการดูหมิ่นและเหยียดหยามโจทก์ แต่โจทก์ฟ้องในปี 2546 ซึ่งเกินกำหนด 1 ปี สิทธิฟ้องของโจทก์จึงระงับไป ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ว่า ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น 3.คำพิพากษาฎีกาที่ 6804/2558 ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง กำหนดให้สามีมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากชายชู้ หากชายชู้ทราบว่าหญิงมีสามีแล้วแต่ยังจงใจกระทำความผิด กรณีนี้ จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นภริยาโจทก์แต่ยังเป็นชู้กับจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ ส่วนสิทธิฟ้องร้องตามมาตรา 1529 ระงับเมื่อพ้น 1 ปีนับแต่วันที่รู้ความจริง แต่หากการกระทำยังต่อเนื่อง สิทธิฟ้องร้องไม่ระงับ คดีนี้โจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาย่อ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 ซึ่งทราบว่าโจทก์เป็นสามีของจำเลยที่ 1 แต่ยังคงประพฤติเช่นนั้นต่อเนื่อง โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนตาม มาตรา 1523 แม้จำเลยที่ 2 อ้างว่าโจทก์ทราบความจริงเกิน 1 ปี แต่เนื่องจากการกระทำยังต่อเนื่อง สิทธิฟ้องร้องจึงไม่ขาดอายุความ คำอุทธรณ์และฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่าค่าทดแทน 500,000 บาท สูงเกินไป และฎีกาของโจทก์ที่ว่าเป็นค่าทดแทนที่น้อยเกินไปนั้น ศาลเห็นว่าจำนวนดังกล่าวเหมาะสมตามพฤติการณ์แล้ว ฎีกาของทั้งสองฝ่ายจึงฟังไม่ขึ้น ตัวอย่างร่าง คำฟ้อง คำฟ้องคดีครอบครัว คดีหมายเลขดำที่/256X ในศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ระหว่าง นายสมชาย โจทก์ นายสมศักดิ์ จำเลยที่ 1 นางสมหญิง จำเลยที่ 2 คำฟ้อง ด้วยข้อเท็จจริง โจทก์ขอเรียนต่อศาลว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสและเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2527 ณ สำนักทะเบียนอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กหญิงกนกพรรณ และเด็กชายธนรัชต์ เมื่อปี 2536 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 แม้โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 และมีบุตรด้วยกัน แต่จำเลยที่ 2 ยังคงยุ่งเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2536 จำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกัน ณ สำนักทะเบียนอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ และมีบุตรด้วยกัน 1 คน การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่อุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรทั้งสอง และแสดงออกต่อสาธารณะว่าอยู่ร่วมกับจำเลยที่ 2 ฉันสามีภริยา ซึ่งเป็นการประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังไม่จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามที่ควรพึงกระทำ ขณะเดียวกัน จำเลยทั้งสองยังแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าเป็นสามีภริยากันโดยไม่มีความละอายต่อการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นเหตุให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณ ข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (1) การประพฤติละเมิดสิทธิของคู่สมรส เช่น การอยู่ร่วมกับหญิงอื่นในฐานะภริยา ย่อมเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ อีกทั้ง มาตรา 1523 วรรคแรก กำหนดให้คู่สมรสที่ถูกละเมิดสิทธิสามารถเรียกค่าทดแทนได้ ขอศาลได้โปรดพิจารณาตามคำขอของโจทก์ด้วย ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
คำขอท้ายคำฟ้องแพ่ง 1.ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา 2.ให้โจทก์มีสิทธิใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองฝ่ายเดียว 3.ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคนละ 2,500 บาทต่อเดือน นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และเมื่อบุตรคนแรกบรรลุนิติภาวะแล้ว ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรคนที่สองเดือนละ 4,000 บาทต่อไป
4.ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าทดแทนให้โจทก์จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
|